เมนู

" บุคคลฆ่าอะไรได้สิ จึงอยู่เป็นสุข, ฆ่าอะไร
ได้สิ จึงไม่เศร้าโศก, ข้าแต่พระโคดม พระองค์
ย่อมชอบใจซึ่งการฆ่าธรรมอะไรสิ ซึ่งเป็นธรรมอัน
เอก."

ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เขา จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
" บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงอยู่เป็นสุข. ฆ่า
ความโกรธได้แล้วจึงไม่เศร้าโศก, พราหมณ์ พระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธ
อันมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน, เพราะบุคคลนั้นฆ่า
ความโกรธนั้นได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก."

พราหมณ์ 4 คนบรรลุพระอรหัตผล


เขาเลื่อมใสในพระศาสดา บวชแล้วบรรลุพระอรหัต.
ครั้งนั้น อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ผู้น้องชายของเขา ได้ฟังว่า
" ได้ยินว่า พี่ชายของเราบวชแล้ว " ก็โกรธ จึงมาด่าพระศาสดาด้วย
วาจาหยาบคาย ซึ่งมิใช่วาจาสัตบุรุษ. แม้เขาก็ถูกพระศาสดาให้รู้สำนึก
แล้ว ด้วยข้ออุปมาด้วยการให้ของควรเคี้ยวเป็นต้นแก่แขกทั้งหลาย เลื่อม-
ใสในพระศาสดา บวชแล้วบรรลุพระอรหัต.
น้องชายทั้งสองของเธอแม้อื่นอีก คือสุนทริกภารทวาชะ พิลังคก-
ภารทวาชะ (พากัน ) ด่าพระศาสดาเหมือนกัน อันพระศาสดาทรงแนะนำ
บวชแล้วบรรลุพระอรหัต.

ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย คุณของพระพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์หนอ: เมื่อพราหมณ์พี่น้องชาย
ทั้ง 4 ด่าอยู่, พระศาสดาไม่ตรัสอะไร ๆ กลับเป็นที่พึ่งของพราหมณ์
เหล่านั้นอีก."

พระศาสดาเป็นที่พึ่งของมหาชน


พระศาสดา เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้ " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ประทุษร้าย ในชน
ทั้งหลายผู้ประทุษร้าย เพราะความที่เราประกอบด้วยกำลังคือขันติ ย่อมเป็น
ที่พึ่งของมหาชนโดยแท้ ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
16. อกฺโกสํ วธพนฺธญฺจ อทุฏฺโฐ โย ติติกฺขติ
ขนฺตีพลํ พลาณีกํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
" ผู้ใด ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นซึ่งคำด่าและ
การตีและการจำจองได้, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีกำลัง
คือขันติ มีหมู่พลว่า เป็นพราหมณ์."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทุฏฺโฐ เป็นต้น ความว่า ผู้ใดเป็น
ผู้มีใจไม่โกรธ อดกลั้นคำด่าและคำบริภาษ ด้วยอักโกสวัตถุ 10 และ
การดีด้วยฝ่ามือเป็นต้น และการจำด้วยเครื่องจำคือขื่อเป็นต้น, เราเรียก
ผู้นั้น คือผู้เห็นปานนั้น ซึ่งชื่อว่ามีกำลังคือขันติ เพราะความเป็นผู้
ประกอบด้วยกำลังคือขันติ ผู้ชื่อว่ามีหมู่พล เพราะความเป็นผู้ประกอบ